Monday, 25 February 2008

Khow Luang - Nakornsrithammarat เขาหลวงนคร

20 - 23 กุมภาพันธ์ 2551

“ ทาก ” เพื่อนตัวน้อยของบรรดานักเดินป่า ที่ทำให้หลายคนเกลียดและกลัวว่ามันจะดูดเลือด มันจะชูคอรอทักทายเมื่อเวลาเดินผ่านและดีดตัวขึ้นมาเกาะพร้อมทั้งเลือกทำเล ที่จะนำปากของมันเจาะเข้าไปใต้ผิวหนัง และฉีดสารที่ทำให้เลือดแข็งตัวช้าลง หลายป่าที่พบว่ามีเจ้าตัวนี้ชุกชุม รวมทั้งเขาหลวงนครฯ ด้วยที่ขึ้นชื่อลือชา แต่ล่าสุดได้ข่าวว่า มันจะสูญพันธ์ไปจากที่นี้แล้ว พวกเราจึงจำใจไปพิสูจน์ ........จึงเป็นที่มาของทริปนี้
นัดพบกันที่สาย ใต้ใหม่ที่สุดทันสมัยใหญ่โตกว่าหมอชิต พวกเราเลือกใช้บริการของบ. ใต้ร่มเย็น เหตุเพราะมีรอบดึกสุด พาพวกเรามุ่งหน้าลงใต้ไปถึงตัวเมืองนครฯ ในตอนสายๆ ของวันมาฆบูชา แล้วต่อเข้าชุมชนคีรีวง ที่นี่คือจุดเริ่มต้นของเส้นทางสู่ยอดเขาหลวง หรือที่ชาวบ้านเรียกว่า เขาใหญ่ นัดพบเพื่อนร่วมทาง หรือคนนำทางนั่นเองที่หน้าที่ทำการชุมชนคีรีวงเพื่อมุ่งหน้าสู่ยอดสูงสุด 1800 เมตร รวมพวกเรา 8 คน กับเพื่อนร่วมทางอีก 5 คน เป็น 13 คน เมื่อจัดของลงเป้ใหม่แล้วพวกเราทั้งหมดก็เริ่มเคลื่อนที่ด้วยเท้าสองข้างจาก ท้ายหมู่บ้าน 6 กิโลแรก เป็นทางเดินลาดยางดูเหมือนง่ายแต่ทำไม มันชันขึ้นเรื่อยๆๆๆ......
ผ่าน สวนผลไม้ มังคุด ทุเรียน ลองกอง เงาะ ที่ยังไม่ถึงหน้าออกผลให้ได้ชิม เลยอดอยากปากแห้งต่อไป แวะเขาขนำ หรือที่พักเพื่อกินข้าวตอนเที่ยงวันพอดี ทางเดินช่วงหลังเริ่มเปลี่ยนจากสวนกลายเป็นป่า ชายป่า และเป็นป่ารกทึบ ต้นไม้สูงใหญ่บดบังพระอาทิตย์ มี สิงโต ดอกเหลือง ชูอวดอยู่บนต้นไม้ใหญ่ 3 ชม ก็ถึงที่พักคืนนี้ เรียกว่า ลานไทร บรรยากาศสวยดี เป็นจุดบรรจบของลำน้ำ 3 สาย หลังจากที่แต่ละคนจับจองพื้นที่หลับนอน บ้างก็เปล บ้างก็เต็นท์ สาวๆ ก็ไปลงเล่นน้ำด้านหลัง ก่อนที่จะกลับมารวมกันเพื่อกินข้าวมื้อเย็น นายโจ๊ก ที่ดูจะเป็นหัวหน้าชุด เริ่มบอกเราว่า พรุ่งนี้จะผ่านพื้นที่ที่เคยมีทากชุกชุม เคยนะ....
เช้ามาพร้อมหน้ากัน แถวๆ บริเวณที่ทำอาหารเพื่อช่วยกันทำอาหารเช้าและกลางวัน บ้างก็หุงข้าว บ้างก็ตำน้ำพริก บ้างก็ทอดไข่ดาว อาหารกลางวันถูกบรรจุลงในถุงพลาสติกเพื่อพกติดตัวไปกินระหว่างทาง กลายเป็นมื้อเช้าที่แสนสนุกไป จากจุดที่พักเราเดินอีก 20 นาทีก็ถึงลาน ฮ ข้างๆ มีน้ำตกสายเล็กๆ ที่พวกเรากลับมาแวะกันตอนขาลง เดินเลยไปอีก เป็นลาน Dr. เป็นจุดที่พวกเราแวะเติมพลังกันด้วยการจัดการมื้อกลางวันที่พกมา หลังจากนี้ความชันจะเพิ่มชึ้นต้องเดินไปอีก 1 ชม.ครึ่ง ทีเดียวกว่าจะถึงจุดสูงสุด บนยอดไม่ได้เป็นลานโล่งแต่พอจะมีที่พักให้หลับนอนได้บ้าง มีศาลเจ้าพ่อ และป้ายบอกความสูงผุๆ อีกอันเท่านั้น เสบัยงขนมเริ่มถูกขนมาทำลายกันยามนี้ จนหายเหนื่อยแล้ว เดินสำรวจรอบ ได้มุมสวยๆ แต่ต้องปีนป่ายยอดไม้กันเป็นลิงเลย กำลังปีนกันสนุกๆ แอ๊คท่าถ่ายรูปกันอยู่ เจ้าโจ๊กกับเจ้าเขียวก็ร้องชวนไปดูต้นน้ำตาปี สรุปว่าโดนหลอกกันเดินไปทุกคนเลย ภายหลังรู้ว่า ไกลมากๆ
ต้นน้ำตาปี เป็นตาน้ำผุดขึ้นมาจากซอกหิน กว่าจะรองน้ำมากินได้ก็เสียเวลานานพอสมควร และเริ่มทำการแบกกลับที่พักไปใช้ทำอาหารและดื่มกิน ระหว่างทางเดิน พบเห็นดอกไข่มุก สีชมพูเป็นพวงๆ พวกเราเดินกลับมาทันพระอาทิตย์ตกพอดี รีบปีนขึ้นประจำที่บนยอดไม้ ยามนี้ขอบฟ้ากลายเป็นสีส้ม เส้นตัดแบ่งระหว่างผืนดินและท้องฟ้า แม้ว่าดวงอาทิตย์จะไม่ได้เป็นไข่แดงเหมือนบางที่ แต่ก็เป็นบรรยากาศที่งดงามทีเดียว

หลัง กินข้าวเสร็จ ก็นั่งคุยกันรอบกองไฟไม่ยอมไปนอนกัน เพราะอากาศข้างบนนี้หนาวได้เรื่องเลย มีบางคนไม่อยากจะอยู่ห่างกองไฟเลย จนสามทุ่มเลยแยกย้ายกันมุดเข้าเปลนอน หนาวจับใจ...เขาหลวงจริงๆ มาสะดุ้งตื่นแต่เช้าเพราะต้องไปเก็บภาพพระอาทิตย์ขึ้นอีกด้าน ก็ต้องปีนยอดไม้อีกเช่นเคย ดังนั้นถ้าใครคิดจะมาคงต้องฝึกปีนยอดไม้เอาไว้ด้วย และแล้วเราก็พิสูจน์ได้ว่า ทากตัวน้อยได้จากเขาหลวงไปแล้ว เพราะไม่มีใครพบเห็นทา
กเลยสักตัว ........

No comments: