Wednesday, 29 October 2008

Doi Pha Hom Pok - Chiangmai ดอยผ้าห่มปก

จากยอดดอยผ้าห่มปกถึง.....ดอยแม่ตะมาน


ระยะทาง 32 กิโลเมตร จากที่ทำการอุทยานแม่ฝาง หรือดอยผ้าห่มปก เล่นเอาพวกเราสะบักสะบอมเลย เพราะทางที่ผ่านมาเป็นดินลูกรัง ข้ามดอยแล้วดอยเล่าก็ยังไม่ถึง พระอาทิตย์ก็เริ่มลับขอบฟ้าลงเรื่อยๆ จนแสงลับขอบฟ้าลงพร้อมๆ กับความมืดที่คืบคลานเข้ามาปกคลุม แต่ยังดีที่พวกเรามาทันเห็นแสงสุดท้ายที่จุดชมวิวก่อนที่มันจะหายไป อีกไม่ไกลแล้วพวกเราก็ถึงที่หมายนั่นคือ กิ่วลม ที่พักสุดท้ายก่อนจะต้องเดินขึ้นยอดดอยผ้าห่มปกอีกเกือบสามกิโลเมตร พวกเรารีบกางเต็นท์หลังจากเลือกทำเลได้เพราะน้ำค้างเรื่มลงหนักแล้ว


ตอนนี้อุณหภูมิเท่าไหร่แล้ว ??? เสียงหนึ่งในทีมถามขึ้นมาในวงกินข้าว 16 องศา เป็นคำตอบที่ผมดูจากมือถือที่วัดได้ และมันลงไปที่ 14 องศาตอนก่อนนอน แต่หลังจากนั่นไม่รู้แล้วเพราะหลับไปด้วยความเพลียมาตื่นเอาตอนมีคนมาปลุก ตี 4 กว่าๆ เห็นจะได้ ต้องรีบแล้ว เดี๋ยวไม่ทันพระอาทิตย์ขึ้น พวกเราเริ่มเดินจากหมู่บ้านเต็นท์ของเราฝ่าสายหมอกขึ้นไปตามทางโดยปราศจากคน นำทาง มือของแต่ละคนก็ถือไฟฉาย บางคนไม่มีก็อาศัยของคนอื่น ล้มลุกคลุกคลานบ้าง หยุดเดินเพราะพักเหนื่อยก็หลายครั้งอยู่ ยังมองไม่เห็นสภาพรอบๆ เพราะมืดมากและหมอกก็ลงจัด จนกลางทางพบอีกกลุ่มที่กำลังหลงทางอยู่จึงชวนไปต่อด้วยกัน กลายเป็นกลุ่มใหญ่เกิน 20 คน เส้นทางที่เดินเริ่มพาพวกเราขึ้นสูงจนมองเห็นท้องฟ้าที่ยังเต็มไปด้วยดวงดาว เหมือนพวกเรายืนอยู่ใต้เพดานหมู่ดาวมากมายเต็มท้องฟ้าเลยทีเดียว จนในที่สุดพวกเราก็มาถึงยอดดอยจนได้ ต้องยกนิ้วให้สาวน้อยใจสู้ที่เดินตามมาจนถึงจนได้ ทั้งๆ ที่ดูอาการตอนแรกแล้วไม่น่าจะมาถึงได้ สงกะสัยจะไม่กล้ากลับ....


แสงสีทองอมแดงเริ่มฉายให้เห็นที่ขอบฟ้า ทะเลหมอกผืนกว้างสุดสายตามีดวงดาวประดับจนอยากจะบอกว่า เป็นทะเลดวงดาวที่สวยงามมาก จวบจนแสงอาทิตย์แรงขึ้นดวงดาวก็ค่อยๆ หายไป เริ่มมองเห็นยอดดอยอ่างขางที่อยู่ไม่ไกลนักได้ชัดเจน และมองเห็นยอดดอยหลวงเชียงดาวที่สูงรองจากยอดดอยผ้าห่มปกนี้เล็กน้อย (ดอยผ้าห่มปกสูงเป็นอันดับ 2 และดอยหลวงเชียงดาวสูงเป็นอันดับ 3) รอบตัวมองไปเห็นแต่หมอกสีขาวแต่คงจะเป็นเมฆสีขาวสำหรับคนที่อยู่ข้างล่าง เดินกลับลงมาตามทางเดิมหลายคนนึกแปลกใจว่าขึ้นไปได้อย่างไรเนี่ย ผ่านต้นไม้ใส่เสื้อ ดงหาญช้างร้อง โดยเฉพาะม่อนวัดใจ ด่านแรกของเส้นทางนี้ สุดท้ายอาหารมื้อเช้านี้คงจะอร่อยที่สุดเพราะหิวกันลงมา
กินอิ่มแล้วก็นอนพักเอาแรง อากาศเย็นสบายจนหลับสนิท มาตื่นชวนกันไปเดินเล่นถ่ายรูปเอาตอนเกือบห้าโมงเย็น และรอดูพระอาทิตย์ตก หมอกเริ่มหนาขึ้นเรื่อยๆ พร้อมกับแสงของวันที่ลดน้อยลงจนมืดสนิท คืนนี้มีย่างเนื้อหมู และปลาหมึกแห้ง กินหอมตลบไปทั่วดอยเลย คืนนี้คนมาพักเยอะกว่าคืนก่อนมากนัก จนเกือบไม่มีที่พอ ส่วนน้ำในห้องน้ำก็ยังเย็นยะเยือกเหมือนเดิมเล่นเอาบางส่วนของร่างกายที่โดย น้ำชาเหมือนโดนอะไรแทง...บื๋อ++


ย้อนลงมาที่ อ.เชียงดาว วิ่งรถเลาะข้างๆ ดอยหลวงเชียงดาวไปพร้อมกับมองแสงสีส้มแดงส่องกระทบยอดดอยที่มีหมอกปกคลุม บางๆ เป็นภาพที่น้อยครั้งจะได้พบเห็น ป่าเกี๊ยะ หรือชื่อใหม่ที่เรียกกันว่า ดอยแม่ตะมาน จะมองเห็นยอดดอยหลวงเชียงดาวได้ชัดเจน ผมเลือกกางเต็นท์ที่ริมหน้าผาแม้ว่าลมจะแรงสักหน่อย ต้องยึดไว้ดีๆ ไม่อย่างนั้นเห็นทีอาจจะต้องวิ่งไล่จับเต็นท์กันล่ะ ยามเช้าตื่นขึ้นมารู้สึกเสียใจเล็กน้อยเพราะไม่ได้เห็นทะเลหมอกสมใจนัก แต่บรรยากาศโดยรวมก็วิเศษแล้วเหมาะกับการนั่งคุย หรืออ่านหนังสือ มีบางกลุ่มเดินถือกล้องไปตามทางที่รถขึ้นมาส่องหานกที่ได้ยินเสียงร้องระงม ขากลับผ่านหมู่บ้านม้งที่จอดรถบรรทุกส้มเต็มคันรถ เลยแวะถามราคาดู พูดไม่ชัดเจน แต่พวกเราก็ซื้อมากระบะหนึ่ง รสชาติหวานจริง.....รู้สึกว่าทริปนี้จะกินส้มเป็นอาหารหลักเลย

No comments: